กะเพราเป็นไม้พุ่มล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขาสูงประมาณ 30 – 60 ซม. ซึ่งอาจสูงถึง 1 เมตร โคนลำต้นค่อนข้างแข็ง ตามลำต้นมีขน ใบเป็นใบเดี่ยว การเกาะติดของใบบนกิ่งแบบตรงข้าม สลับกับใบที่ตั้งฉากกันเรียงอยู่ตรงข้าม ลักษณะใบเป็นรูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2.5-5 ซม.ใบปลายแหลมหรือมน โคนแหลม ขอบจักฟันเลื่อยและเป็นคลื่น แผ่นใบมีขน ดอกเป็นแบบช่อฉัตร ออกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ยาว 8-10 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนบนแยกเป็น 4 กลีบปลายแหลมเรียว ส่วนล่างมีกลีบเดียวค่อนข้างกลม ผิวกลีบด้านในเกลี้ยง ด้านนอกมีขนตามโคนกลีบ กลีบเลี้ยงสีแดงน้ำตาลแกมม่วง และสีเขียว เนื้อกลีบแข็ง ส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็นกลีบปลายแหลมแบบหนาม ก้านดอกย่อยสีเขียว ยาวประมาณ 0.20 – 0.30 ซม. ผลแห้งแล้วแตกออก เมล็ดเล็กมีรูปไข่สีน้ำตาล
ใบกะเพรานั้นมีน้ำมันหอมระเหยสีเหลือง มีกลิ่นหอมฉุนคล้ายกลิ่นของน้ำมันกานพลู ส่วนในเมล็ดจะมีน้ำมันระเหยยากสีเหลืองอมเขียว คุณภาพของน้ำมันหอมระเหยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ
กะเพราเป็นพืชที่ปลูกในแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานแล้ว โดยเฉพาะในประเทศไทยและมาเลเซีย กะเพรามีอยู่ด้วยกัน 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง, กะเพราขาว และกะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว แต่ที่นิยมปลูกกันทั่วไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ กะเพราขาวและกะเพราแดง ซึ่งมีเรียกชื่อตามสีของก้านใบและก้านดอก
กะเพราเป็นพืชและผักจำพวกเครื่องเทศ สามารถนำใบสดและใบอ่อนมาประกอบอาหาร เป็นพืชที่ใช้แต่งกลิ่นอาหารให้อาหารมีกลิ่นหอม และใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น ใส่ในแกงป่า, แกงเผ็ด, ผัดเผ็ดเนื้อชนิดต่างๆ โดยจะใส่ใบกะเพราสดลงในอาหารหลังจากสุก ก่อนที่จะยกลงจากเตา สามารถใช้กะเพราเป็นผักชูรส เช่น นำไปปรุงผัดกะเพรา, ใส่ในหอยนึ่ง ฯลฯ นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารมากมายแล้ว ผลพลอยได้จากการบริโภคกะเพรายังช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์ สามารถนำไปปรุงเป็นยาสมุนไพร ทำให้เลือดลมดี
0 comments:
Post a Comment