Twitter Facebook Google Plus LinkedIn RSS Feed Email
 
 

น้ำพริกสำหรับผัดกะเพรา

18.11.12 | 0 comments

น้ำพริกสำหรับผัดกะเพรา

รุ่นน้องคนนึง เพิ่งกลับจากสวิส
แวะมาเยี่ยมกัสซี่ที่เชียงใหม่ พร้อมบ่นให้ฟังว่า
อยากกิน "ผัดกะเพรา" เหลือเกิ๊นนน
ลงเครื่องมาปุ๊บ แวะร้านอาหารตามสั่งปั๊บ
กะจะฟาดให้เต็มคราบ เอาให้หายคิดถึงกันไปข้าง
ปรากฎว่า

"ทำไม ผัดกะเพรา เดี๋ยวนี้มันหวานไปหมดเลยก็ไม่รู้พี่"

ที่จริง ผัดกะเพราแบบเดิม ๆ ไม่มีเครื่องปรุงอะไรมาก
พริกขี้หนูตบ ๆ สับ ๆ ปริมาณนึง
กระเทียมไทย ตบ ๆ สับ ๆ อีกปริมาณนึง
แล้วก็เนื้อสัตว์ตามชอบ
ตั้งกะทะใส่น้ำมันนิดเดียว
เอาพริกกับกระเทียมลงไปเจียวพอสำลักควัน
เอาเนื้อสัตว์ที่ชอบคงไปคั่วรวมกันกับพริกกระเทียม
โปรยน้ำปลาดี ๆ ลงไปให้ทั่ว ๆ
แล้วโรยด้วยใบกะเพราแดง (ไม่ใช่ใบกะเพราขาวแบบเดี๋ยวนี้)
ตักราดข้าวได้เลย
แถมไข่ดาวจากไข่เป็ด ทอดด้วยน้ำมันหมูกรอบ ๆ สักฟอง
แค่นี้ก็ แหล่ม!!!!!!


สูตรนี้เห็นยายทำมาให้กินตั้งแต่เด็ก
ไม่เคยเห็นยายใส่ซีอิ้วดำ ซีอิ้วหวาน หรือน้ำมันหอยเลย
ใส่แต่น้ำปลาตราพรพิมล จาก จังหวัดตราดเท่านั้น
ใบกะเพราแดง เด็ดเป็นใบ ๆ (ถ้าหาได้) แต่วันนี้ มีแต่กะเพราขาว กลิ่นรส อ่อนกว่ากะเพราแดง แต่หาซื้อง่ายกว่า


แต่ทีนี้ ผัดกะเพราแบบก่อน สีมันจะไม่ค่อยสวย
แล้วก็หน้าตาแห้ง ๆ กร้าน ๆ บางคนอาจจะไม่ชอบ
ก็เลยมีการปรับสูตร กันขึ้นมา ตามแต่ีรสนิยม


อย่างกัสซี่เอง เดี๋ยวนี้จะทำเป็นน้ำพริกผัดกะเพราไว้ก่อน
แล้วค่อยเอามารวนกับเนื้อสัตว์ที่ชอบทีหลัง
บางทีก็เอาไปผัดกับเส้น Penne ด้วย


เพื่อสนอง Need ของคุณน้อง
วันนี้ เจ้าพนักงานชาวต่างชาิติของเรา
จึงลงมือทำ ผัดกะเพรา แบบสำเร็จให้ เชยชมกัน


วันนี้เลยขอเปิดตัวผู้ช่วยซ้ายขวาของกัสซี่กันหน่อย
แต่เนื่องจากเจ้านาย ดุมาก (ภาษาเมืองเขาว่า "ส่วก")
เวลาจะเข้ามาในครัวของนาย นายบังคับให้แต่งตัวเต็มยศ
คือ ต้องอาบน้ำให้สะอาด ต้องมีหมวกเก็บผม มีผ้ากันเปื้อน รองเท้ายาง พร้อม
อ้าว! ก็อาชีพที่นายทำคือ Food Research and Development นี่นา
มันก็ต้องให้เป็น Professional กันหน่อยสิ นิ!!!



วันนี้ สองสาวเขาจัดแจงทำ น้ำพริกผัดกะเพราแบบสำเร็จให้
น้ำพริกนี้ ทำเก็บใส่ขวดแก้วแช่เย็นไว้
อยากกินขึ้นมาเมื่อไหร่ งัดออกมาผัดกับเนื้อที่ชอบ ได้

สูตรตามที่เจ้าพนักงานเขาปรุงมา มีดังนี้

กระเทียมไทยกลีบเล็กล้างให้สะอาด ปอกเปลือก แต่ให้เหลือเปลือกบาง ๆ ติดผิวไว้บ้าง 100 กรัม
พริกขี้หนูสีแดงเด็ดขั้วออกล้างให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ 125 กรัม
พริกชี้ฟ้าแดงเด็ดขั้วออกล้างให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ 50 กรัม
น้ำมันพืช 200 กรัม
น้ำตาลทรายขาว 50 กรัม
เกลือป่น 15 กรัม
ซีอิ้วขาว 90 กรัม
น้ำมันหอย 50 กรัม
น้ำปลา 75 กรัม

วิธี ทำ ก็ นำพริกขี้หนูแดง และ พริกชี้ฟ้าแดงไปปั่นหรือโขลกรวมกันกับกระเทียม เวลาปั่นหรือโขลกต้องคอยดู อย่าให้ส่วนผสมละเอียดเกินไป

ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันให้ร้อน นำส่วนผสมในข้อที่ 1 ลงผัดรวมกันให้หอม ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือป่น ซีอิ้วขาว น้ำปลา และ น้ำมันหอย ผัดจนส่วนผสมเข้ากัน ยกลง พักไว้ให้เย็น ตักใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เก็บไว้ในตู้เย็นเสมอ



ทำ้น้ำพริกเสร็จแล้ว ก็หาไก่มาสัก 100 กรัม หมักด้วย ซีอิ้วขาวสักนิด ขยำ ๆ ให้เ้ข้ากัน


พริกชี้ฟ้าแดง เขียว หั่นแฉลบ ๆ ซักหน่อย (วันนี้มีแต่สีแดง)


ใบกะเพราแดง เด็ดเป็นใบ ๆ (ถ้าหาได้) แต่วันนี้ มีแต่กะเพราขาว กลิ่นรส อ่อนกว่ากะเพราแดง แต่หาซื้อง่ายกว่า

จัดแจงเอากระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันจิ๊ดเดียว พอ เอาไก่ลงไปรวน ๆ พอสุก ตักน้ำพริกผัดกะเพราที่เตรียมไว้ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำซุปนิดหน่อยพอขลุกขลิก เร่งไฟ ใส่พริกแดง แล้วก็ใบกระเพรา ผัดอีกสองที ตักใส่จานได้เลย

ผัดกะเพราสูตรนี้ "ไม่หวาน" นะคะ ถ้าติดหวานต้องเพิ่มน้ำตาลเอาเองจ้ะ



กะเพราเป็นไม้พุ่มล้มลุก

กะเพรา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ocimum sanctum linn. เป็นพืชที่อยู่ในตระกูล Labiatae พืชตระกูลนี้ที่สำคัญได้แก่ โหระพา แมงลัก เป็นต้น ชื่ออื่นๆ ที่คนไทยเรียกกะเพราได้แก่ ภาคกลางเรียก กระเพราแดง, กระเพราขาว ภาคเหนือและเชียงใหม่เรียก ก่ำก้อขาว, ก่ำก้อดำ, กอมก้อขาว, กอมก้อดำ ส่วนชาวกะเหรี่ยงและแถวจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียก ห่อตูปลู, ห่อกวอซู


กะเพราเป็นไม้พุ่มล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขาสูงประมาณ 30 – 60 ซม. ซึ่งอาจสูงถึง 1 เมตร โคนลำต้นค่อนข้างแข็ง ตามลำต้นมีขน ใบเป็นใบเดี่ยว การเกาะติดของใบบนกิ่งแบบตรงข้าม สลับกับใบที่ตั้งฉากกันเรียงอยู่ตรงข้าม ลักษณะใบเป็นรูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2.5-5 ซม.ใบปลายแหลมหรือมน โคนแหลม ขอบจักฟันเลื่อยและเป็นคลื่น แผ่นใบมีขน ดอกเป็นแบบช่อฉัตร ออกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ยาว 8-10 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนบนแยกเป็น 4 กลีบปลายแหลมเรียว ส่วนล่างมีกลีบเดียวค่อนข้างกลม ผิวกลีบด้านในเกลี้ยง ด้านนอกมีขนตามโคนกลีบ กลีบเลี้ยงสีแดงน้ำตาลแกมม่วง และสีเขียว เนื้อกลีบแข็ง ส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็นกลีบปลายแหลมแบบหนาม ก้านดอกย่อยสีเขียว ยาวประมาณ 0.20 – 0.30 ซม. ผลแห้งแล้วแตกออก เมล็ดเล็กมีรูปไข่สีน้ำตาล

ใบกะเพรานั้นมีน้ำมันหอมระเหยสีเหลือง มีกลิ่นหอมฉุนคล้ายกลิ่นของน้ำมันกานพลู ส่วนในเมล็ดจะมีน้ำมันระเหยยากสีเหลืองอมเขียว คุณภาพของน้ำมันหอมระเหยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ

กะเพราเป็นพืชที่ปลูกในแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานแล้ว โดยเฉพาะในประเทศไทยและมาเลเซีย กะเพรามีอยู่ด้วยกัน 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง, กะเพราขาว และกะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว แต่ที่นิยมปลูกกันทั่วไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ กะเพราขาวและกะเพราแดง ซึ่งมีเรียกชื่อตามสีของก้านใบและก้านดอก


กะเพราเป็นพืชและผักจำพวกเครื่องเทศ  สามารถนำใบสดและใบอ่อนมาประกอบอาหาร เป็นพืชที่ใช้แต่งกลิ่นอาหารให้อาหารมีกลิ่นหอม และใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น ใส่ในแกงป่า, แกงเผ็ด, ผัดเผ็ดเนื้อชนิดต่างๆ โดยจะใส่ใบกะเพราสดลงในอาหารหลังจากสุก ก่อนที่จะยกลงจากเตา สามารถใช้กะเพราเป็นผักชูรส เช่น นำไปปรุงผัดกะเพรา, ใส่ในหอยนึ่ง ฯลฯ นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารมากมายแล้ว ผลพลอยได้จากการบริโภคกะเพรายังช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์ สามารถนำไปปรุงเป็นยาสมุนไพร ทำให้เลือดลมดี


สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา สามารถลดน้ำตาลและไขมันได้

 


กะเพรา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum sanctum) เป็นไม้ล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขา สูง 30 - 60 ซม. นิยมนำใบมาประกอบอาหารคือ ผัดกะเพรา กะเพรามี 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง กะเพราขาว และ กะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว
กะเพรามีชื่อสามัญอื่นอีกคือ กอมก้อ (เชียงใหม่) กอมก้อดง (เชียงใหม่) กะเพราขน (กลาง) กะเพราขาว (กลาง) กะเพราแดง (กลาง) ห่อกวอซู (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) ห่อตูปลู (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) อิ่มคิมหลำ (เงี้ยว แม่ฮ่องสอน) และ อีตู่ไทย (ตะวันออกเฉียงเหนือ)
สรรพคุณกะเพรา
  • ใบ บำรุงธาตุไฟธาตุ ขับลมแก้ปวดท้องอุจจาระ แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นเหียนอาเจียน และขับลม
  • เมล็ด เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดจะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละอองนั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย
  • ราก ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ[
  • น้ำสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียด
  • ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 ซึ่งมีราคา 10,000 บาทต่อกิโลกรัม

กะเพราลดน้ำตาลและไขมัน
ข้าวผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ทุกคนมักจะรู้จัก และคุ้นเคยอย่างดี สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็น อาหารที่ปรุงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแถมรสชาติก็อร่อย
         นอกจากจะมีกลิ่นหองเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ใบสดของกะเพรามีน้ำมัน หอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และmethyl chavicol เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อปวด ท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กำมือ มาต้มให้ เดือด แล้วกรองเอาน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นำเอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำนำมา ผสมกับ น้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของ เด็กได้ และน้ำที่ เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วย
         สำหรับ ใบแห้ง ใช้ชงดื่มกับน้ำ แก้ท้องขึ้น และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อตามีผงหรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาของเราช้ำ รากกะเพรา ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า กะเพรา มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมันได้

ข้อมูลจาก
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

ข้อมูลการวิจัยของกะเพรา



 
ชื่อภาษาไทย       กะเพรา
ชื่ออื่นๆ       กอมก่อ กอมก้อดง กะเพราขน ห่อกวอซู ห่อตูปลู อิ่มคิมหลำ อีตู่ไทย
ชื่อภาษาอังกฤษ       Holy basil, Sacred basil
ชื่อวิทยาศาสตร์       Ocimum tenuiflorum L.
ชื่อพ้อง       Ocimum sanctum L., O. brachiatum Hassk., O. flexuosum Blanco
วงศ์       Labiatae (Lamiaceae)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์       ไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง สูง 30-60 เซนติเมตร ทุกส่วนของกิ่ง และใบมีขน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ใบรูปไข่หรือไข่แกมรี ขนาดกว้าง 0.9 -4.3 เซนติเมตร ยาว 1.5- 8.3 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบสอบหรือมน   ขอบใบเกือบเรียบถึงจักห่าง ๆ  แผ่นใบด้านบน  มีสีเขียวอ่อนถึงม่วงแดงทั้งใบ  ส่วนด้านล่างมีเฉพาะสีเขียวหรือแดงที่เส้นใบ มีขน ขอบใบเป็นลอนคลื่น ดอกช่อออกที่ยอดหรือปลายกิ่ง แบบกระจะ รูปคล้ายฉัตร ยาว 2.5-12 เซนติเมตร สีเขียว เขียวแกม ม่วงถึงม่วงทั้งช่อ กลีบเลี้ยง มี 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด มีขน กลีบด้านบนเป็นแผ่น คล้ายใบมี 1 หยัก ด้านล่าง มี 4 หยักแหลม กลีบดอก มี 5 กลีบ สีขาวถึงขาวแกมชมพูม่วง โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายหลอดแยกเป็นปากบนและล่าง  กลีบบนปลายแยกหยัก ปลายกลมมน ส่วนกลีบปากล่างมีหยัก รูปคล้ายช้อนยาว ปลายมนหยักเล็กน้อย เกสรเพศผู้ มี 2 คู่  ยาวไม่เท่ากัน   ก้านเกสรมีขนสีขาวที่โคน อับเรณูมีสีเหลือง เกสรเพศเมียมี 1 อัน  ยอดเกสรปลายแยกสองแฉก รังไข่มี 4 อันติดกัน   มีเกสรเพศเมียอยู่ตรงกลาง  ผล มี 4 เมล็ด  มีกลีบเลี้ยงแห้งหุ้ม  เมล็ดมีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร รูปกลมหรือแกมรี ผิวสีน้ำตาล มีรอยย่น กะเพรามีหลายสายพันธุ์ ที่พบมากได้แก่ กะเพราขาว กะเพราแดง และกะเพราลูกผสม [1]
นิเวศวิทยา       ขึ้นตามที่รกร้างทั่วไป และปลูกเพื่อการค้า [1]
สรรพคุณ ใบแห้ง   บดเป็นยานัตถ์แก้คัดจมูก   ใบและยอดทั้งสดและแห้ง   แก้อาการท้ออืด   ท้องเฟ้อปวดท้อง    คลื่นไส้อาเจียน   ราก   ทำยาชง  แก้ธาตุไม่ปกติ  แก้ไข้  เมล็ด  มีมิวซิเลจ [2]
ข้อมูลการวิจัยของกะเพรา      
องค์ประกอบทางเคมี       กะเพราแดง ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันวิเคราะห์โดย และ GC-MS มีดังนี้
           
           
1.  a-pinene  (0.51),   2.  camphene  (0.51),  3.  b-pinene  (0.48),  4.  1,8-cineol+limonene  (0.35), 5. linalool (0.32), 6. borneol (1.18), 7. a-copaene (1.04), 8. b-bourbonene (0.58), 9. [+]-b-elemene (5.24),  10.   methyl   eugenol   (81.72),   11.   caryophyllene    (0.58),   12.   a-humulene   (1.32), 13.  germacrene  D  (4.40),  14. cyclohexane-1-ethenyl-1-methyl-2,4-bis[1-methyl-ethenyl] (0.36), 15. d-cadinene (0.15)
องค์ประกอบทางเคมี       กะเพราขาว ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันวิเคราะห์โดย และ GC-MS มีดังนี้
           
           
1.  a-pinene  (0.32),  2.  camphene  (0.41),  3.  b-pinene (0.33),  4.  1,8-cineole+limonene  (0.28), 5. linalool (0.21), 6. borneol (0.80), 7. b-copaene (1.03), 8. b-bourbonene (0.44), 9. [+]-b-elemene (5.41),   10.   methyl   eugenol  (73.42),   11.   caryophyllene   (10.89),   12.  a-humulene   (1.29), 13.  germacrene  D  (2.97),  14. cyclohexane-1-ethenyl-1-methyl-2,4-bis[1-methyl-ethenyl] (0.35), 15. d-cadinene (0.31)
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา       ต้านเชื้อแบคทีเรีย [3] ต้านออกซิเดชัน [4] ฤทธิ์ไล่แมลง [5] ขับพยาธิ์ [6]
ความเป็นพิษ       methyl   eugenol     ซึ่งเป็นสารหลักในน้ำมันมีรายงานว่าเป็นสารพันธุพิษอยู่ในประเภทเดียวกับ   safrole,   estragol   มีค่า ขนาดของยาที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง (LD50) โดยการป้อนทางปากให้หนูขาวเป็นค่า 0.81-1.56 กรัมต่อกิโลกรัม เป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองและการแพ้ทางผิวหนัง [7]
การใช้ประโยชน์จากน้ำมันกะเพรา       -
รูปแบบผลิตภัณฑ์       -
ราคาน้ำมันกะเพรา       10,000 บาทต่อกิโลกรัม
เอกสารอ้างอิง       1. ชยามฤต, ก่องกานดา. 2540. สมุนไพรไทย ตอนที่ 6. บริษัทไดมอนด์พริ้นติ้ง จำกัด. กรุงเทพฯ. หน้า 115.
2. สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน. 2530. อุทยานสมุนไพรพุทธมลฑล. หน้า 246.
3. Sinha, GK. and Gulati, BC. 1990. Antimicrobial and antifungal Study of some essential oil and some of their constituents. Indian Perfumes 34:126-9.
4. Trevisa, MT. et al.   2006.   Characterization of the volatile pattern and antioxidant capacity of essential oils from different species of the genus Ocimum. J. Agric Food Chem 54(12):4378-82.
5. Chokechaijaroenporn, O .  1991.   Chemical Constituents and Biological Effects on Mosquitoes of Volatile Oils from Ocimum spp. Cultivated in Thailand. MS Thesis, Mahidol University.
6. Asha MK, et al.   2001.   Anthelmintic activity of essential oil of Ocimum sanctum and eugenol. Fitoterapia 72(6): 669-70.
7. Robert Tisserand and Tony Balacs 1995:Essential oil Safety. A guide for Health Care Professionals. Churchill Livingstone, London p 194 Netherlands. pp. 158-9.

กะเพรากลิ่นหอมลดน้ำตาลและไขมันได้

แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อจุกเสียดในท้อง

          ข้าว ผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ทุกคนมักจะรู้จัก และคุ้มเคยอย่างดี สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นอาหารที่ปรุงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแถมรสชาติก็อร่อย กะเพรา
 
            นอกจากจะมีกลิ่นหองเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ใบสดของกะเพรามีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และmethyl chavicol เป็น ยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กำมือ มาต้มให้เดือด แล้วกรองเอาน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นำเอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำนำมา ผสมกับน้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบๆ  สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของ เด็กได้ และน้ำที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วย

            สำหรับ ใบแห้ง ใช้ชงดื่มกับน้ำ แก้ท้องขึ้น และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อตามีผงหรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาของเราช้ำ รากกะเพรา ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า กะเพรา มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมันได้



ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

กะเพรา ราชินีสมุนไพร

กะเพราจัดเป็นราชินีสมุนไพร (Queen of Herb) ใช้ทั้งด้านร่างกายและจิตวิญญาณ
กะเพรา
Ocimum tenuiflorum L.ชื่อพ้อง Ocimum sanctumชื่ออื่น (ไทย) กอมก้อดง, กอมก้อ, กะเพราขาว, กะเพราแดง, ห่อกวอชู, ห่อตูปลู, อิ่มคิมหลำ
ชื่ออื่น (เทศ) Holy basil, Sacred basil, Tulsi (สันสกฤต), Tulasi (ฮินดู)

          กะเพราเป็นพืชวงศ์ Lamiaceae หรือ Labiatae เป็นพืชล้มลุก ลำต้นสี่เหลี่ยม (ลักษณะเฉพาะของพืชวงศ์นี้) ลำต้นมีขน มีก้านสาขามาก สูง 12-24 นิ้ว

          ใบรูปไข่ขอบหยักมีก้านใบ เรียงตัวแบบตรงข้าม มีสีเขียวหรือสีอมม่วง และมีกลิ่นหอมแรง
          ดอกช่อยาวสีม่วงเป็นชั้นถี่ๆ ดอกย่อยมีสีชมพูแกมม่วง ดอกสั้นบานจากโคนช่อสู่ปลาย

          กะเพราเป็นพืชพื้นเมืองของเขตร้อนในถิ่นโลกเก่า คือบริเวณเขตร้อนของทวีปเอเชียและแอฟริกา ทั้งที่จงใจปลูกและขึ้นเองตามธรรมชาติ การเพาะปลูกกะเพราเป็นไปเพื่อใช้งาน ทั้งด้านศาสนาและการแพทย์

          ประเทศไทยและอินเดียมีการปลูก 2 พันธุ์คือ กะเพรา (Lakshmi tulsi) และกะเพราแดง (Krishna tulsi) ที่ประเทศอินเดียจะเก็บเกี่ยวหลังผลิดอกครั้งแรกเพื่อให้ได้สรรพคุณทางยาสูง สุด

          ใบกะเพรามีกลิ่นรสฉุนพิเศษ เนื่องมาจากมีสารเซสควิเทอร์พีน ชื่อบีตาคาร์โยฟิลลีน (ß-caryophyllene) ร้อยละ 30 และบีตาเอลิมีน (ß-elemene) นอกจากนี้ยังมีพรีนิลโพรพานอยด์หลายตัว ได้แก่เมทิลยูจีนอล (methyl eugenol) ร้อยละ 30 และเมทิลชาวิคอล (methylchavicol) ร้อยละ 10

          การแพทย์อายุรเวทและศาสนาฮินดูมีการใช้กะเพรา มากว่า 5,000 ปี จัดเป็นราชินีสมุนไพร (Queen of Herb) ใช้ทั้งด้านร่างกายและจิตวิญญาณ โดยกล่าวว่ากะเพรามีคุณสมบัติปรับธาตุ ช่วยภาวะสมดุลหลายกระบวนการของร่างกาย และช่วยให้เผชิญความเครียด ทั้งทางร่างกายและจิตใจได้ดีขึ้น

          การแพทย์อายุรเวทเชื่อว่ากะเพรา เป็นพืชที่ช่วยให้อายุยืน ใช้บรรเทาอาการหวัด ปวดศีรษะ อาการต่างๆ ของกระเพาะอาหาร อาการอักเสบ โรคหัวใจและหลอดเลือด ปรับสมดุลระบบภูมิต้านทาน บรรเทามาลาเรีย และขับสารพิษต่างๆ

          ปัจจุบันสถาบันวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม ประเทศแคนาดา ได้สนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของกะเพราข้างต้นนี้แล้ว

          การแพทย์อายุรเวทใช้สารสกัดกะเพราในรูปชาชง ผงแห้ง ใบสด หรือผสมเนยใส น้ำมันสกัดจากใบกะเพรา ใช้ทำยาและเครื่องสำอาง พบมากตามสูตรรักษาผิวหนัง


          เพราะมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย มีการใช้ใบกะเพราแห้งปนกับเมล็ดพันธุ์เพื่อไล่แมลง
          คนไทยใช้กะเพราประกอบอาหาร จะมีใครบ้างใช้กะเพราเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพ การศึกษาวิจัยเรื่อง กะเพรามีจำนวนมาก เรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้

ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน
          การกินสารสกัดจากใบกะเพรา 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ก่อนการฉายรังสีหนูทดลอง หนูกินสารสกัดดังกล่าวมีความผิดปกติของโครโมโซมเซลล์ไขกระดูกที่แยกจากหนู ที่รับรังสี 4.5 Gy ติดต่อกัน 5 วันต่ำกว่ากลุ่มควบคุม มีผลให้ระดับ GSH GST เอนไซม์กลูตาไทโอนรีดักเตส (GSPx) และ SOD ในตับมีระดับสูงขึ้น แต่ลดการเกิดออกซิเดชันของไลพิด

          นอกจากนี้สารฟลาโวนอยด์จากใบกะเพราคือ โอเรียนทิน (orientin) และไวซีนิน (vicenin) ก็มีฤทธิ์ป้องกันความผิดปกติทางโครโมโซมของเซลล์ไขกระดูกหนูอย่างมีนัยสำคัญ เช่นกัน

ฤทธิ์ลดความดันเลือด          การศึกษาในสุนัข พบว่า fixed oil จากกะเพรามีฤทธิ์ลดความดันเลือด อันอาจมีผลจากฤทธิ์ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย และเชื่อว่ามีคุณสมบัติยับยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด เพิ่มระยะเวลาแข็งตัวของเลือด

ฤทธิ์ลดปริมาณไขมันในเลือดและปริมาณคอเลสเตอรอลสุทธิ
          พบว่าฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดมาจากความสามารถในการต้านออกซิเดชันของกะเพรา
กระต่าย ที่ได้รับใบกะเพราสดผสมอาหารขนาด 1-2 กรัม/กิโลกรัม/วัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์จะมีปริมาณ คอเลสเตอรอลสุทธิ ไตรกลีเซอไรด์ ฟอสโฟไลพิด และไขมันไม่ดี (แอลดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดลง และมีไขมันดี (เอชดีแอล-คอเลสเตอรอล) และคอเลสเตอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น

ฤทธิ์ต่อระบบหัวใจ

          เมื่อให้ใบกะเพราสดบดละเอียด 50 และ 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน เป็นเวลา 30 วันแก่หนู แล้วจึงเหนี่ยวนำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายด้วย isoproterenol
          พบว่าใบกะเพราบดเพิ่มภาวะต้านออกซิเดชันในหัวใจ เพิ่มระดับ GSH SOD คาทาเลส และ GPx activity และลดการเกิดไลพิดเพอออกซิเดชันและการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ


ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลกระเพาะอาหาร
          สารสกัดกะเพราลดการหลั่งกรด เพิ่มการหลั่งสาร เยื่อเมือกของกระเพาะอาหาร เมื่อป้อนสารสกัดกะเพราด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทางท่อเข้าที่กระเพาะหนูขาว ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีผลรักษาแผลกระเพาะอาหารที่เกิดจากแอสไพริน แอลกอฮอล์ ฮิสตามีน และความเครียด พบว่าสามารถลดการหลั่งกรด และป้องกันการถูกทำลายของเยื่อบุกระเพาะอาหารได้

ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้
          สารสกัดน้ำหรือแอลกอฮอล์ 50% ของใบสดหรือใบกะเพราแห้ง มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้หนูตะเภาและกระต่ายที่ถูกกระตุ้นด้วยฮิ สตามีน อะเซทิลโคลีน หรือคาร์บาคอล (carbachol)

ฤทธิ์ขับลม          ใช้น้ำต้มใบกะเพรา 2-3 หยด ผสมน้ำนมให้ทารกดื่ม ทำให้ทารกสบายท้อง เพราะน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากกะเพราช่วยขับลมในท้อง

ฤทธิ์ลดการอักเสบ
          การศึกษากะเพราพบว่ามีฤทธิ์ต้านการทำงานของเอนไซม์ค็อกซ์-1 (Cox-1) และค็อกซ์-2 (Cox-2) เหมือนยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ที่นิยมใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) อันเนื่องมาจากสารยูจีนอล cirsillenol, cirsimaritin, Isothymonin, Apigenin, rosmarinic acid ในน้ำมันกะเพรา มีฤทธิ์ลดการอักเสบโดยยับยั้งการสังเคราะห์พรอสตาแกลนดิน (prostaglandin)

          เมื่อป้อนสารสกัดเอทานอล 50% ของใบกะเพรา น้ำมันหอมระเหย และ fixed oil จากเมล็ดกะเพราครั้งเดียวให้หนูตะเภาที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้ง เท้าด้วยสารคาราจีแนน  เซอราโทนิน และฮิสตามีน พบว่าสารสกัดจากใบและลำต้นของกะเพรามีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบได้ เนื่องจากไปยับยั้งการสังเคราะห์สารที่ทำให้เกิดการอักเสบ


          นอกจากนี้ เมื่อป้อน fixed oil จากเมล็ดกะเพรา ขนาด 3 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้กับหนูขาวกินเป็นเวลา 10 วัน ก่อนที่จะฉีดสารที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ข้อเข่าของหนู  พบว่า fixed oil จากเมล็ดกะเพรา สามารถยับยั้งการอักเสบของข้อเข่าของหนูได้ โดยมีผลยับยั้งเทียบเท่ากับยาแอสไพริน และตำรับยาที่มีกะเพราเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ขนาด 300 และ 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เมื่อทดสอบกับอุ้งเท้าหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสารคาราจีแนน และฟอร์มาลีน มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบได้ เนื่องจากไปยับยั้งการสังเคราะห์สารที่ทำให้เกิดการอักเสบดังกล่าว
ฤทธิ์แก้ปวด   
          สารสกัดใบกะเพราด้วยแอลกอฮอล์หรือให้กินทางปาก สามารถยับยั้งอาการปวดได้ เมื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการปวดโดยการฉีดกรดอะเซติกเข้าทางช่องท้องหนูทดลอง

ฤทธิ์ปกป้องตับ
          เมื่อฉีดสารสกัดทั้งต้นด้วยแอลกอฮอล์ 70% เข้าช่องท้องหนูถีบจักร 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือป้อนตำรับยาที่มีกะเพราเป็นส่วนประกอบขนาดต่างๆ กันให้กับหนูขาวทางปาก  และสารสกัดใบกะเพราขนาด 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เมื่อป้อนให้กับหนูถีบจักรทางปากนาน 10 วัน พบว่าป้องกันตับจากการถูกทำลายด้วยสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์หรือสารปรอทได้

ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดและรักษาเบาหวาน          ประเทศอินเดียมีประวัติการใช้น้ำชงช่อดอกดื่มรักษาเบาหวาน และใช้ชาชงจากใบดื่มเพื่อควบคุมระดับ น้ำตาลในเลือด ส่วนประเทศปากีสถานกินผงใบกะเพรา มื้อละ 21 กรัม วันละ 2 ครั้งเพื่อรักษาเบาหวาน
          เมื่อให้ใบกะเพราผงแก่หนูเบาหวานจาก strep-tozocin และหนูปกติ 1 เดือน พบว่าระดับ fasting blood sugar, uronic acid กรดอะมิโนรวมสุทธิ ปริมาณคอเลสเตอรอลสุทธิ ไตรกลีเซอไรด์ ฟอสโฟไลพิด และปริมาณไลพิดสุทธิลดลง

          การศึกษาเชิงคลินิกกับผู้ป่วยแบบไม่พึ่ง อินซูลิน กินผงใบกะเพรา 2.5 กรัม/คน ยืนยันผลของการกินกะเพราลดน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารและลดระดับน้ำตาลใน ปัสสาวะอีกด้วย

ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย          สารในกลุ่มฟีนอล แทนนิน และซาโพนินจากต้น กะเพราและสารสกัดเอทานอล และน้ำมันหอมระเหยจากกะเพราสามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย E. coli  และ Shigella dysenteriae ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

ฤทธิ์ต้านเชื้อสิว          งานวิจัยของประเทศไทยพบว่า น้ำมันหอมระเหยจากกะเพรา ซึ่งมีสารยูจีนอล แกมม่าคาร์โยฟิลีน และเมททิลยูจีนอลเป็นองค์ประกอบสำคัญ มีฤทธิ์ต้านการเติบโตของเชื้อสิว Propionibacterium acnes ซึ่งจะสามารถนำไปพัฒนาเป็นสารรักษาสิวต่อไป
เรารู้จักกะเพรากันแต่ในเมนู กะเพราไก่ไข่ดาว (มันย่อง) เห็นสรรพคุณด้านสุขภาพมากมายของกะเพราแล้วลองชงชากะเพราแบบอินเดียดื่มเพื่อ สุขภาพบ้างดีไหมคะ



ขอเสนอสูตรชากระเพรา (แบบอายุรเวท)
          เทน้ำเดือดในถ้วยชาที่ใส่ใบกะเพราสด 4-6 ใบ ทิ้งไว้ 2-5 นาที ถ้าทิ้งไว้ถึง 5 นาทีจะได้ชาแก่ที่มีสรรพคุณเข้มข้นกว่า) เติมสารให้ความหวานจากธรรมชาติ หรือเติมนมตามต้องการ ใส่น้ำแข็งถ้าต้องการเป็นชาเย็น ประดับด้วยใบสะระแหน่เพิ่มกลิ่นหอม ถ้าใส่น้ำแข็งให้เพิ่มใบกะเพราเป็น 2 เท่า ชาวอินเดียกล่าวว่าชากะเพรานี้ทำให้กระชุ่มกระชวยและคลายเครียดอีกด้วย

ชากะเพราไร้ไขมัน เพื่อสุขภาพและคลายเครียด เสนอเป็นเครื่องดื่มทางเลือก

แก้ท้องอืดกับกะเพรา




ชื่ออื่น ๆ : กะเพราแดง กะเพราขาว (ภาคกลาง) ก่ำก้อขาว ก่ำก้อดำ กอมก้อขาว กอมก้อดำ(เชียงใหม่-ภาคเหนือ)ห่อตูปลู ห่อกวอซู(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ชื่อสามัญ : Sacred Basil, holy Basil

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum sanctum, Linn.

วงศ์ : LABRATAE

ลักษณะทั่วไป

ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 1-4 ฟุต โคนของลำต้นเนื้อไม้แข็ง มีขน มีกลิ่นหอม

ใบ : ใบสีเขียวเรียกว่า กะเพราขาว ใบสีแดงเรียกว่า กะเพราแดง ใบของมันมีขนเฉพาะส่วนที่เป็นยอดของมันจะมีมากกว่าส่วนอื่น

กิ่ง: กิ่งก้านเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่วนปลายของมันจะอ่อน

ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ตั้งขึ้นเป็นชั้น ๆ คล้ายรูปฉัตร กลีบดอกกะเพราขาว มีสีขาว แต่ถ้าเป็นกะเพราแดง มีสีชมพูอมม่วง

เมล็ด : เมื่อแก่หรือแห่งเมล็ดจะเป็นสีดำ อยู่ข้างในซึ่งหุ้มด้วยกลีบเลี้ยงของมัน

การขยายพันธุ์ : ใช้เมล็ดหรือลำต้น ในการขยายพันธุ์ได้ ปลูกขึ้นได้ดีร่วนซุย น้ำน้อย

ส่วนที่ใช้ : ใบ เมล็ด ราก

สรรพคุณ : ใบ ใบสดของมัน มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่งประกอบด้วย linalool และ methyl chavicol เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อนสก 1 กำมือ มาต้มให้เดือดแล้วกรองน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็กทารกให้เอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำยามหาหิงคุ์ แล้วใช้ทาบริเวณรอบ ๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของเด็กได้ และน้ำที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือใช้ทาภายนอกแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อนได้นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหารได้อีก สำหรับใบแห้ง ใช้ชงกินกับน้ำ แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้นสามารถยับยั้งการเจริญเติบฌตของเชื้อโรคบาง ชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิด และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ จะมีฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ด นำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย ราก ใช้รากที่แห้แล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ

หมายเหตุ : กะเพรา นอกจาก ใช้เป็นยา และอาหารแล้ว ชาวอินเดียยังถือว่าเป็นพรรณไม้ศักดิ์ ที่นิยมปลูกตามบริเวณที่สักระบูชา กะเพรา(ไทย);กะเพราขาว(ชนิดขาว);กะเพราดำ(ชนิดม่วง) กะเพราขน(ไทย);กอมก้อดำ(พายัพ).in Siam.plant Names.1948,p.355., กะเพรา;ลูกแมงลัก,Ocimum sp.(Labiatae); Ocimum basilicum; Ocimum sanctum; sweet basil,a fragrant and aromatic annual about two feet high. McFarland, That-Eng. Dict.1941,p.77., Ocjimum sanctum Burkill, II,1935,p.1535 The Sacred Basil; Selaseh, Selaseh hitam, Ruku-ruku merah.

ขอบคุณเนื้อหาจาก : samunpri.com

ประโยชน์ของกะเพรา

17.11.12 | 0 comments



            คนไทยรู้จักกะเพรามานานแล้ว เป็นผักอย่างหนึ่งต้นเล็ก ๆ ใบมีกลิ่นหอม ใช้แกงกินบ้าง ทำยาบ้าง นั่นคือกะเพราในวัฒนธรรมไทย ซึ่งปัจจุบัน ฐานะของกะเพราก็ไม่แตกต่างไปจากเดิม คือเป็นพืชซึ่งใช้เป็นอาหารและยาได้เช่นเดียวกับผักพื้นบ้านอีกหลายชนิด  แต่เนื่องจากกะเพรามีกลิ่นหอมฉุนและรสเผ็ดร้อน ชาวไทยจึงไม่นิยมกินกะเพราโดยตรงเหมือนผักชนิดอื่น ๆ  แต่นิยมนำไปเป็นเครื่องปรุงรสชาติและกลิ่นในการประกอบอาหารต่างๆ ตัวอย่างเช่นคนไทยส่วนใหญ่เมื่อนึกถึงกะเพรา ก็มักจะนึกถึงเมนูหรือรายการอาหารยอดนิยมจากกะเพรานั่นคือ “ผัดกะเพรา (หมู ไก่ เนื้อ )” ร่วมอยู่ในรายการยอดนิยมอย่างหนึ่งเป็นแน่ คงจะจำกลิ่นผัดกะเพราที่ทั้งฉุนตลบอบอวลไปทั่วทั้งร้านและบริเวณใกล้เคียง จนทำให้เกิดเสียงไอจามดังได้เป็นแน่

    กะเพรามีกลิ่นและรสชาติที่รุนแรงเฉพาะตัว จึงมักนิยมใช้ดับกลิ่นคาวในตำราอาหารไทยเช่น ผัดกบ ผัดปลาไหล ผัดหมู ฯลฯ พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง ฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นพวกแกงต่างๆ เช่น แกงเลียงใบกะเพรา สำหรับมารดากินหลังคลอดใหม่ๆ เพื่อขับลมบำรุงธาตุให้ปกติเป็นยาขับน้ำนม นอกจากนี้ยังมีแกงป่า แกงเขียวหวาน แกงคั่ว แกงส้มมะเขือขื่น แม้แต่ต้มยำต่างๆ ใส่ใบกะเพราผัดเผ็ดต่างๆทอดใบกะเพราให้กรอบแล้วนำมาโรยหน้าอาหาร ใส่อาหารได้สารพัดนอกจากที่กล่าวมา

    กะเพราจัดเป็นพืชสมุนไพรได้อย่างเต็มตัวชนิดหนึ่ง เพราะมีสรรพคุณรักษาโรคได้หลายชนิด ทั้งตำราไทยและต่างประเทศ ก็ระบุความเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้ของกะเพราเอาไว้หลายด้านเช่น ตำราสมุนไพรไทย บรรยายสรรพคุณด้านยาของสมุนไพรเอาไว้ว่า รสฉุน ร้อน ขับลมแก้ซาง แก้ท้องขึ้น ปวดท้องบำรุงธาตุ แก้จุดเสียดในท้อง ช่วยย่อยอาหาร

    ในตำราสมุนไพรไทย ได้จัดแบ่งสมุนไพรออกเป็นจำพวกต่างๆ รวมทั้งพิกัดอีกมากมาย ในจุลพิกัดซึ่งมีสมุนไพรกลุ่มละ 2 ชนิดนั้น ระบุถึงกลุ่มที่เรียกว่า ”กะเพราทั้ง 2 ” หมายถึง ส่วนราก ต้นใบ ดอก และ ผลของกะเพรา ซึ่งใช้ด้วยกันทั้งหมดในตำรานั้น ในตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณซึ่งมีอยู่ 6 ตำรับนั้น มีอยู่ตำรับหนึ่งชื่อว่า”ยาประสะกะเพรา” หมายถึง มีกะเพราเป็นสรรพคุณหลักของกะเพรานั่นเอง

    นอกจากนี้กะเพรายังเป็นส่วนประกอบของยาอีกมากมาย เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทรางเด็ก และยากินให้มีน้ำนมสำหรับมารดาเป็นต้น ในต่างประเทศมีการใช้กะเพราเป็นยารักษาโรคอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าประเทศไทย เสียอีก โดยเฉพาะในอินเดียถือว่ากะเพราใช้รักษาโรคได้ทุกโรคเลยทีเดียวกะเพราเป็นพืช ที่ปลูกง่ายมากชนิดหนึ่งเพื่อแต่โรยเมล็ดลงบนพื้นดินแล้วรดน้ำพอชุ่มชื้น กะเพราก็จะงอกงามได้ดี

สารอาหารที่มีใน กะเพรา

23.10.12 | 0 comments

กะเพรา
สารอาหารที่มีใน กะเพรา   กะเพรานั้นเป็นพืชผักสวนครัวและเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณท่าทางอาหารและคุณท่า ทางยาอยู่มากเลยทีเดียวครับ เรามาดูว่าสารอาหารอะไรบ้างที่มีอยู่ในกะเพรา











กระเพรา100 กรัมมีสารอาหารที่สำคัญคือ

แคลเซียม                             25                      มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส                          287                      มิลลิกรัม
เหล็ก                                  15.6                     มิลลิกรัม
เบตาโคโรทีน                   7,857                    ไมโครกรัม
ธัยอามีน                            0.05                      มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน                      0.34                      มิลลิกรัม
ไนอาซีน                             1.8                       มิลลิกรัม
วิตามินซี                              25                       มิลลิกรัม
เส้นใยอาหาร                      1.3                       กรัม
คาร์โบรไฮเดรท                  2.3                       กรัม
ไขมัน                                  0.5                       กรัม
โปรตีน                                4.2                       กรัม
พลังงาน                              30                        แคลอรี่

กะเพรา

เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าสารอาหารในกะเพรานั้นมีไม่น้อยเลย ไม่แปลกใจเลยที่คนไทยนิยมกิน กะเพราหมู
กระเพราไก่ และอีกมากมาย ที่เป็นอาหารยอดฮิตของคนไทยที่มีส่วนผสมของกะเพราหรือใบกะเพรานั่นเอง
ข้อมูลจาก คลังปัญญาไทย

กะเพรา สรรพคุณ


กะเพรา สรรพคุณ
 
       1. กะเพราใช้แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด ให้เอาใบกะเพรามาจากตันกินสดๆได้ทันทีเลย  หรือให้เอามาจิ้มน้ำพริก หรือ นำไปทำแกงเผ็ดกิน เป็นได้ทั้งยาและอาหารไป พร้อมๆ กันด้วย

      2. กะเพราใช้แก้ปวดท้องได้ดีมาก และน้ำใบกะเพราเมื่อนำมาคั้นกินสด 1 ถ้วยหรือ 1 แก้ว ใช้แก้อาการ ปวดมวนในท้องได้ดีมากครับ

       3. กะเพราใช้คุมธาตุได้ดีด้วย เมื่อเราใช้ใบกะเพราจิ้มน้ำพริกกิน ทำให้ท้องไส้ดี ทำงานปกติ อาจจะเผ็ดไปหน่อยแต่ก็เป็นยาดีเลย และระบบย่อยอาหารก็จะเป็นปกติดี อีกทั้งระบบทางเดินอาหารก็ปกติดี  ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น

       4. กะเพราแก้กลาก และเกลื้อน วิธีใช้คือนำใบกะเพรา ประมาณ 1 กำมือ นำไปตำให้ละเอียดใส่เหล้าขาว หรือ เหล้าโรง แล้วนำไปทาบริเวณที่เป็นกลากหรือ เกลื้อน เพื่อให้ตัวยาซึมได้ดี ควรขูดผิวบริ เวณที่เป็นกลากหรือเกลื้อน ออกให้ถลอกก่อนเพราะจะทำให้ได้ผลดี


       5. กะเพราสามารถ แก้ลมพิษได้ด้วย โดยการใช้ใบกะเพรา ประมาณ 1 กำมือ นำไปตำใส่เหล้าขาว หรือเหล้าโรงทา แล้วนำไปทาบริเวณที่เป็นลมพิษ จะทุเลาหายเป็นปกติครับ

         6. กะเพราใช้แก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้ ให้ใช้ใบกะเพรานำไปตำใส่เหล้าขาว หรือเหล้าโรงทา แล้วนำไปทาบริเวณที่ถูกพิษแมลงสัตว์กัดต่อย จะทำให้การอักเสบจะหายทันที

         7. กะเพราช่วยขับน้ำนม โดยการนำเอาใบกะเพรามารับประทานสด ๆ หรือจิ้มน้ำพริกหรือ แกงเลียง ให้ใส่กุ้งแห้ง หรือปลาย่างเอามาโขลกผสมกันกับกะปิ หัวหอม และพริกไทยสด แกงเลียงได้ทันที ช่วยให้สตรีหลังคลอดมีน้ำนมครับ

         8. กะเพราใช้รักษาหูดได้ โดยใช้ใบกะเพรา ขยี้ที่ไปที่หูดบ่อยๆ วันละหลายๆครั้ง จะทำให้หูดฝ่อ และหายไปเองภายในไม่กี่วัน

         9. กะเพราเป็นยากำจัดแมลงวันทองได้อีกด้วย โดนการใช้น้ำมันจากใบกะเพรา นำมาล่อแมลงให้มา ตอมไต่

         10. กะเพราใช้ไล่ยุงได้ดี เพราะความฉุนของกะเพรา เราจึงนำมาไล่ยุงได้ โดยการใช้กะเพราสักกิ่ง วางไว้ตามที่ต้องการไล่ยุง หรือบริเวณที่มียุงชุม หรือใช้น้ำมันสกัดของกะเพรา จะมีเข้มข้นกว่า สามารถไล่ยุงได้ดีเลยครับ

สรรพคุณอื่นๆของกะเพรา
ใบกะเพรา ใช้บำรุงธาตุไฟธาตุ ใช้ขับลมแก้ปวดท้องอุจจาระ แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นใส้อาเจียน และใช้ขับลม

เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำไปใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละอองนั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย

รากกะเพรา ยังใช้รากที่แห้งแล้ว นำไปชงหรือนำไปต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการได้

น้ำสกัดทั้งต้น มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี และช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียดได้
ใบและกิ่งสด เมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยใช้วิธีการต้มกลั่น  ก็จะได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 ซึ่งมีราคา 10,000 บาทต่อกิโลกรัม

สรรพคุณของกะเพรานั้นยังมีอีกมากจะมาแนะนำในบทความต่อไปนะครับ
ข้อมูลจาก คลังปัญญาไทย และ วิกิพีเดีย

 
Copyright © -2012 กะเพราสรรพคุณ.com All Rights Reserved | Design by Guru