Twitter Facebook Google Plus LinkedIn RSS Feed Email
 
 

น้ำใบกะเพราแก้ท้องอืดในโค-กระบือ

3.2.13 | 0 comments

น้ำใบกะเพราแก้ท้องอืดในโค-กระบือ

 
น้ำใบกะเพราแก้ท้องอืดในโค-กระบือ

สัตว์)หากโค กระบือท้องอืด ต้มใบกะเพราอ่อนทั้งก้าน1กำ น้ำ1ลิตร เกลือ3ช้อนโต๊ะ จนเปื่อย ทิ้งให้เย็นแล้วกรองเอาน้ำให้สัตว์กิน3วันๆ ละ1ครั้ง


สำหรับช่วงนี้ทีมงานร่วมด้วยช่วยกันเห็นว่าสภาพอากาศบ้านเรามีความแปรปรวนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่การทำเกษตรกรรมหลากหลายชนิด จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอย่างแน่นอน วันนี้จึงอยากจะหยิบเรื่องของการเลี้ยงสัตว์ในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ในโค-กระบือ ที่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ทำให้โค-กระบือ มีอารมณ์หงุดหงิด สร้างความทรมานให้กับโค-กระบืออย่างมาก จึงได้เชิญเกษตรกรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการเลี้ยงโค-กระบือ มาร่วมพูดคุยกันในรายการ นั้นคือ คุณอ่อน พิมพ์พรรณ เกษตรกรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงวัวนม โค-กระบือ อยู่ที่ ต.วังม่วง อ.วังม่วง จ.สระบุรี มาแนะนำกันผ่านรายการ Farmer InFo ทางด่วนข้อมูลการเกษตร ช่วงคลินิกเกษตร ทางสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี FM 107.75 MHz.

คุณอ่อน พิมพ์พรรณ กล่าวว่า เกษตรกรหลายท่าน ที่ได้ทำการเลี้ยงโค-กระบือ คงจะหนีไม่พ้น อาการท้องอืดในโค-กระบือ ซึ่งถือว่าเป็นอีกโรคหนึ่งที่สร้างความทรมานให้กับโค-กระบือ ที่ทำการเลี้ยงไว้ ซึ่งคุณอ่อน พิมพ์พรรณ ก็ได้ประสบกับปัญหาดังกล่าวทำให้โคนมที่เลี้ยงให้ปริมาณน้ำนมลดน้อยลงอย่างมาก สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม ไม่สดชื่น จึงได้ทำการคิดค้นวิธีการต่างๆ ที่สามารถรักษา หรือหาวิธีแก้อาการโรคท้องอืดในโค-กระบือ ลักษณะอาการของโรคคือ ท้องของโค-กระบือโตผิดปกติ ท้องแข็ง โค-กระบือไม่ยอมกินอาหาร อารมณ์หงุดหงิดง่าย โคนมไม่สามารถให้นมได้ตามปกติ จึงได้ทดลองนำเอาสมุนไพรไทยมาใช้แก้ปัญหา ทำให้อาการดังกล่าวหายไปได้ โดยมีวิธีการและรายละเอียดต่างๆ ดังนี้

น้ำใบกะเพราแก้ท้องอืดในโค-กระบือ

วัสดุอุปกรณ์
1. ใบกะเพรา จำนวน 1 กำ (กำละ 5 บาท ใช้เฉพาะใบอ่อน โดยเด็ดก้านใบที่แก่ๆแข็งๆทิ้ง)
2. เกลือแกง จำนวน 3 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำ จำนวน 1 ลิตร

วิธีการทำน้ำใบกะเพรา
นำใบกะเพรามาโดยเด็ดก้านที่แก่ๆแข็งๆทิ้ง ใช้เฉพาะก้านใบอ่อน นำใบกะเพราส่วนที่ได้ล้างให้สะอาด จากนั้นนำน้ำตั้งไฟให้พอเดือดจึงใส่เกลือและใบกะเพราลงไปทั้งหมดใส่รวมกัน แล้วต้มให้เดือด จนให้ใบกระเพาะมีลักษณะเปื่อย และให้น้ำที่ต้มมีสีเขียวออกมาให้มากที่สุด เมื่อได้ที่แล้วจึงยกลงจากเตา ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นก่อน จึงจะนำน้ำที่ได้มากรอกเอากากออก จะได้น้ำสมุนไพรจากใบกะเพราะเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

วิธีการใช้ประโยชน์
นำน้ำใบกะเพราที่ได้ไปกรอกให้โค-กระบือที่มีอาการท้องอืดกิน วันละ 1 ครั้ง ให้กินติดต่อกันประมาณ 3 วัน ก็จะทำให้โค-กระบือที่มีอาการท้องอืด หายจากอาการดังกล่าว และจะช่วยให้โค-กระบือมีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น มีอารมณ์ดี โดยเฉพาะในโคนม จะให้นมได้ดีขึ้นตามปกตินั่นเอง

แหล่งที่มาของข้อมูล : อ่อน พิมพ์พรรณ. สัมภาษณ์, 14 สิงหาคม 2555.
เรียบเรียงโดย : เพิก กองศรี เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี

กะเพราแดง

กะเพราแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์: Ociemum Sanctum L.
ชื่อวงศ์: LABIATAE

ชื่อสามัญ: Holy Basil , Sacred Basil

ชื่อท้องถิ่น: ห่อตูปลู

ถิ่นกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลักษณะวิสัย: ไม้พุ่มเตี้ย

ลักษณะ: เป็นไม้พุ่มเตี้ยความสูงประมาณ 1-3 ฟุต ต้นค่อนข้างแข็ง แตกกิ่งก้านสาขามาก ก้านเป็นขน ก้านใบยาว รูปใบเรียว โคนใบรูดในลักษณะเรียวปลายมนรอบขอบใบเป็นหยัก พื้นใบด้านหน้าสีเขียว หรือแดงแก่กว่าด้านหลัง ซึ่งมีกระดูกใบนูนเห็นได้ชัด ดอกออกเป็นช่อตั้งขึ้นคล้ายฉัตร เมล็ดอยู่ภายในกลีบ กลีบเลี้ยงสีม่วง เมื่อเมล็ดแก่สีดำ

ประโยชน์: สรรพคุณทางยาแผนโบราณ แก้ลม ขับลม จุกเสียดในท้อง เป็นยาตั้งธาตุ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น ใช้รักษาโรคของเด็ก คือเอาใบกระเพรามาตำละลายกับน้ำผึ้ง หยอดให้เด็กแรกเกิดกินเรียกว่าถ่ายขี้เถ้า หรือตำแล้วบีบเอาน้ำผสมกับมหาหิงค์ ทารอบสะดือ แก้ปวดท้องของเด็ก ปรุงเป็นยาผงส่วนมากจะใช้เฉพาะใบ รากแห้งชงกับน้ำร้อนดื่มแก้ธาตุพิการได้ดี เป็นยากันยุง และใบกับดอกผสมปรุงอาหาร

การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด

กะเพราขาว

กะเพราขาว

ชื่อทางพฤกษศาสตร์ : Ocimum sanctum

วงศ์ : LABIATAE

ชื่อที่เรียก : ทั่วไปเรียก กระเพรา กระเพราขาว ทางภาคเหนือเรียก กอมก้อ

ลักษณะ : ต้นกระเพราขาว เป็นต้นไม้เล็กๆ เนื้อออ่น ลำต้นสูงประมาณ 4-5 ฟุต ลำต้นสี่เหลี่ยม ต้นมีใบและขนน้อยๆ ใบมีสีขาวเขียว คล้ายใบสะระแหน่แต่โตกว่าเล็กน้อย ลำต้นมีสีเขียว ดอกออกเป็นช่อตั้งขึ้นเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร

การเจริญเติบโต : ปลูกกันตามบ้านเป็นสวนครัว ตามเรือกสวนไร่นา ขึ้นง่ายในดินทุกชนิด ใช้กิ่งที่เราใช้แล้วปักลงในดินก็ขึ้นได้

ประโยชน์ : ใช้ใบปรุงเป็นอาหารจำพวกผัก มีรสเผ็ดร้อนแรงนำมาปรุงเป็นเครื่องกับแกล้มก็ได้ แกงก็ได

สรรพคุณ : ใช้เป็นยาตั้งธาตุ แก้ปวดท้อง แก้ท้องขึ้น แก้ท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ ใช้ปรุงเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ลมตานทราง ทำให้ขับผายลมทำให้เรอ แก้ลมจุกเสียดในท้อง แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ กระเพรา นี้เป็นสมุนไพรที่เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้ในการรักษาโรคของเด็กเล็กๆเป็น อย่างมากถ้าจะปรุงเป็นยาผงจะใช้แต่ใบของมันเท่านั้นแต่ถ้าจะปรุงเป็นยาต้มจะ ใช้ทั้งต้น กระเพรานี้ถ้าใช้สัก 3-5 ใบขยี้หรือบดให้ละเอียดผสมกับเกลือละลายน้ำสุกหรือน้ำผึ้งหยดให้เด็กอ่อน เพิ่งคลอดรับประทานช่วยในการถ่ายขี้เทาและขับผายลมได้ดีมาก

การปลูกกะเพรา

การปลูกกะเพรา  


กะเพรา เป็นพืชผักจำพวกเครื่องเทศที่ใช้ใบสดใบอ่อนในการประกอบอาหาร เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวและช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม ใบกะเพราใช้เป็นผักชูรส เช่น ใส่แกงเผ็ด แกงป่า แกงเลียง ผัดเผ็ด ผัดกะเพรา ใส่หอยนึ่ง ฯลฯ นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารมากมายแล้ว ผลพลอยได้จาการบริโภคกะเพรายังช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์เป็นยาสมุนไพร ทำให้เลือดลมดี


การปลูกกะเพรา
การปลูกกะเพราจะต้องมีการเลือกพื้นที่ เป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้ 1-2 ปี การเลือกพื้น ดินควรมีความร่วนซุยมีความอุดมสมบูรณ์ดี มีการระบายน้ำดีอยู่ใกล้แหล่งน้ำและสามารถนำน้ำมารดได้สะดวก
การเตรียมดิน
กะเพราเป็นพืชที่มีระบบรากลึกปานกลาง การเตรียมดินควรขุดหรือไถ
ดินลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน ไถพรวนคราด ย่อยดินให้ละเอียดเก็บเศษวัชพืชออกให้หมด หลังจากนั้นยกแปลงสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร กว้าง 1 เมตรยาวตามความเหมาะสมเว้นช่องว่างระหว่างแปลงประมาณ 30 เซนติเมตร เมื่อยกแปลงเสร็จ แล้วใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วอัตรา 800 กิโลกรัมต่อไร่ หรือประมาณ 500 กรัมต่อตารางเมตร โรยให้ทั่วแปลง และใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านให้กระจายทั่วแปลง คลุกเคล้าปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักและปุ๋ยเคมีให้เข้ากันกับดินพร้อมที่จะปลูก
วิธีปลูก
การปลูกกะเพราควรกระทำในตอนเย็น วิธีการปลูกที่นิยมมี 2 วิธีด้วยกัน คือ
1. การเพาะกล้าย้ายปลูก โดยการหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วแปลงแล้วใช้แกลบสด แกลบเผาหรือฟาง หว่านหรือคลุมบางๆ แล้วรดน้ำตามทันที หลังจากนั้น รดน้ำทุกวันเช้าและเย็น จน
กระทั่งเมื่ออายุได้ 20-25 วัน จึงทำการย้ายปลูก โดยการถอนกล้าแล้วเด็ดยอดนำไปปลูกในแปลง โดยใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร เมื่อถอนกล้าออกจากแปลงแล้วจะต้องปลูกให้เสร็จ
การปลูกกะเพรา ภายในวันเดียวกัน หลังจากปลูกเสร็จควรหาฟางหรือหญ้าแห้งมาคลุมเพื่อเก็บความชื้นและรดน้ำตามทันที
2. การปักชำ โดยตัดกิ่งที่โตเต็มที่ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร แล้วปลิดใบออกให้หมดนำไปปักชำในแปลง โดยใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร ใช้หญ้าแห้งหรือฟางแห้งสะอาด
คลุมให้ทั่วแปลง และรดน้ำตามทันที

การปฏิบัติดูแลรักษา
กะเพราเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูงและสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการรดน้ำให้ทุกวัน แต่ระวังอย่าปล่อยให้มีการท่วมขังของน้ำในแปลง ในระยะแรกควรทำการพรวนดินและกำจัดพืชทุกๆ 1-2 สัปดาห์ โดยการใช้มือถอนจอบหรือเสียมดายหญ้าออกและควรทำด้วยความระมัดระวังอย่าให้กระทบต่อต้นและรากกเพราเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย เจริญเติบโตดี การใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0)ในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ ละลายน้ำรดหลังปลูกประมาณ 15-20 วัน จะทำให้การเจริญเติบโตของโหระพาดียิ่งขึ้น และมียอดอวบงามและใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อ
ไร่ทุกครั้งหลังจากการเก็บเกี่ยวสำหรับการป้องกันกำจัดโรคและแมลงนั้น เนื่องจากกะเพราเป็นพืชที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงมากนัก การแก้ปัญหาจึงไม่ควรใช้สารเคมี เพราะอาจไม่คุ้มค่า

แหล่งที่มาของข้อมูล :
คุณเตือนใจ ถิ่นวงศ์เย
ที่อยู่ : หมู่ที่4 ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก

พันธุ์กระเพรา

กระเพรา
   
         
พันธุ์
กะเพราเป็นที่ปลูกกันทั่วไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ กะเพราขาวและกะเพราแดง ซึ่งเรียกชื่อตามสีของก้านใบและก้านดอก ส่วนในเรื่องพันธุ์นั้นยังไม่มีการศึกษาปรับปรุงพันธุ์หรือคัดเลือกพันธุ์อย่างจริงใจในทางวิชาการ พันธุ์กะเพราที่ใช้ปลูกในปัจจุบันจะเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่มีการปลูกและเก็บเมล็ดพันธุ์เอาไว้ต่อๆ กันมา เนื่องจากกะเพราเป็นพืชที่ยังไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากนัก

การเลือกพื้นที่ปลูก
กะเพราเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเฉลี่ย 1-2 ปี ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวไปได้เรื่อยๆ ทุก 15-20 วัน การเลือกพื้นที่ปลูกควรเป็นที่ดอน แต่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ สามารถนำน้ำมาใช้รดได้สะดวก ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมขัง ปกติกะเพราสามารถขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด แต่จะชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ดีร่วนซุย ระบายน้ำดี อยู่ใกล้ที่พักอาศัย อยู่ไม่ไกลจากตลาดหรือแหล่งรับซื้อมากนัก และการคมนาคมสะดวก

การปลูก
การเตรียมดินปลูก กะเพราเป็นพืชที่มีระบบรากลึกปานกลาง ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้ 10-15 ครั้ง ต่อระยะเวลา 7-8 เดือน หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลง กิ่งก้านแข็ง แตกยอดน้อย เมื่อถึงตอนนี้ควรจะรื้อปลูกใหม่ อย่างไรก็ดีการเตรียมดินปลูกกะเพราก็เหมือนกับปลูกพืชอื่นๆ คือไถ หรือขุดดินลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากับดินให้ทั่ว ย่อยดินให้ละเอียดแล้วพร้อมที่จะปลูกได้

วิธีการปลูก การปลูกกะเพราโดยทั่วไปมีการปฏิบัติกันอยู่ 3 วิธี ดังนี้
1. ปลูกโดยการหว่านเมล็ด การปลูกด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เมล็ดพันธุ์มากและใช้แรงงานมากในการถอนแยก โดยเริ่มจากรดน้ำให้ชุ่มทั่วแปลง แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ให้กระจายสม่ำเสมอทั่วแปลง โดยทั่วไปใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 250 กรัมต่อไร่ ใช้แกลบขาวหรือแกลบดำโรยคลุมให้ทั่วแปลง หลังจากนั้นใช้ฟางแห้งหรือหญ้าแห้งคลุมทับบางๆ เสร็จแล้วให้รดน้ำตาม และรดน้ำทุกๆ วัน หลังจากงอกประมาณ 15-20 วัน ควรทำการถอนแยกให้ได้ระยะระหว่าง 20x20 เซนติเมตร
2. ปลูกโดยการใช้ต้นกล้า เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติกันมากเพราะให้ผลผลิตสูงและสะดวกในการจัดการ โดยทำการเพาะกล้าในแปลงเพาะจนกระทั่งกล้ามีอายุ 20-25 วัน จึงทำการย้ายปลูก การย้ายปลูกควรทำในตอนเย็นและปลูกให้เสร็จภายในวันเดียวกัน เมื่อถอนต้นกล้ามาแล้วจึงเด็ดยอดออก ขุดหลุมให้ได้ระยะ 20x20 เซนติเมตร แล้วนำต้นกล้าที่เด็ดยอดแล้วลงปลูก หลังจากนั้นใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมระหว่างแถว รดน้ำตามทันทีและรดน้ำทุกวัน
3. ปลูกโดยการใช้ต้นและกิ่งแก่ การปลูกโดยใช้ลำต้นและกิ่งแก่ทำให้ได้ผลผลิตเร็ว แก่กิ่งและยอดที่แตกออกมาใหม่มักไม่สวนเท่าที่ควร ลำต้นโทรมและตายเร็ว วิธีการโดยตัดต้นและกิ่งแก่ที่มีอายุมากกว่า 8 เดือน ให้มีความยาว 5-10 เซนติเมตร เด็ดยอดและใบออก แล้วนำต้นหรือกิ่งแก่ไปปักชำในแปลง ใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร หลังจากนั้นใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมระหว่างแถว รดน้ำตามทันที และหลังจากปลูกควรรดน้ำทุกวัน

การดูแลรักษา

กะเพราเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูงและสม่ำเสมอ ดังนั้นควรมีการรดน้ำทุกวันเช้า-เย็น แต่ระวังอย่าให้มีการท่วมขังของน้ำในแปลง และในระยะแรกควรมีการพรวนดินและกำจัดวัชพืชทุก 1-2 สัปดาห์ โดยการใช้มือถอน ใช้จอบหรือเสียมดายหญ้าออก แต่ระวังอย่าให้กระทบกระเทือนต้นและราก
สำหรับการใส่ปุ๋ยกะเพรานั้น หลังจากปลูก 15 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างแถวแล้วพรวนดินกลบและรดน้ำตาม หลังจากปลูก 20-25 วัน ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ โดยละลายน้ำรดในตอนเย็น และหลังจากเก็บเกี่ยวทุกครั้งให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่
โดยปกติแล้วกะเพราเป็นพืชที่ไม่ค่อยมีปัญหาจากการทำลายของโรคและแมลงมากนัก ดังนั้นหากมีแมลงรบกวนจึงไม่ควรใช้สารเคมี โดยให้ยึดหลักวิธีการผลิตผักอนามัยเป็นแนวทางในการปฏิบัติ

การเก็บเกี่ยว
กะเพราสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 30-35 วันหลังปลูก โดยใช้มีดคมๆ ตัดลำต้นให้ลำต้นเหลือสูงจากพื้นดินประมาณ 10-15 เซนติเมตร แต่ถ้ายังไม่มีผู้รับซื้อเกษตรกรสามารถชะลอการเก็บเกี่ยวออกไปได้โดยการเด็ดยอดที่มีดอกทิ้ง หลังจากตัดลำต้นแล้วกะเพราจะแตกยอดและกิ่งก้านออกมาใหม่ การเก็บเกี่ยวสามารถกระทำได้ทุก 15 วัน ไปตลอดระยะเวลา 7-8 เดือน หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลงเรื่อยๆ เกษตรกรจึงควรทำการถอนทิ้งเพื่อปลูกใหม่
   
           
      ที่มา  กรมส่งเสริมการเกษตร

การทำกับดักใบกะเพราแมลงวันทองจากขวดพลาสติก

การทำกับดักใบกะเพราแมลงวันทองจากขวดพลาสติก 

 

แมลงวันทองนับเป็นศัตรูตัวฉกาจของไม้ผล ที่จ้องเข้าทำลายให้ผลผลิตเสียหาย จนขาวสวนสุดทน เพราะการเข้าทำลายของแมลงวันทองนั้นคือ รายได้ที่ชาวสวนต้องเสียไปในและปี วิธีการป้องกันแมลงวันทองในเบื้องต้น คือการวางกับดักล่อให้แมลงวันตัวเต็มวัยมาติดกับเพื่อป้องกันการเข้าไปวางไข่ในไม้ผลให้ได้รับความเสียหาย




วิธีการทำ :

- นำเอาขวดพลาสติกมาตัดครึ่ง แล้วนำเอาส่วนครึ่งที่เป็นคอขวดหันเข้าเสียบส่วนครึ่งที่เป็นก้นขวด

- จากนั้นนำเอาไม้ไผ่มาเสียบเพื่อไม่ให้ทั้งสองส่วนหลุดออกจากกัน

- นำเอาลวด หรือเชือกมาผูกร้อยเพื่อใช้แขวนไว้กับกิ่งต้นผลไม้ในสวนที่แมลงวันทองระบาด


วิธีการนำไปใช้ :

- นำเอาหัวเชื้อกลิ่นแมลงวันทองชุบสำลี แล้วใส่เข้าไปในขวด

- นำขวดที่ใส่หัวเชื้อ ไปแขวนไว้ที่ต้นผลไม้

( หัวเชื้อแมลงวันทองสามารถติดต่อได้กับสำนักงานเกษตรจังหวัด
หรือศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล)


กับดักแมลงวันทองจากขวดพลาสติก :

ก) นำขวดพลาสติกมาตัดครึ่งนำส่วนคอขวดหันเข้าเสียบส่วนครึ่งที่เป็นก้นขวด

ข)นำเอาหัวเชื้อกลิ่นแมลงวันทองชุบสำลีใส่ในขวดเพื่อเป็นเหยื่อล่อ หรือจะใช้ใบกระเพราล่อแมลงวันเข้ามาติดกับก็ได้


-------------------------------------- @ ^ - ^ @ -----------------------------------------

ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สกลนคร




การใช้ใบกะเพราแทนฟิโลโมนล่อแมลงวันผลไม้มาติดกับดัก

การใช้ใบกะเพราแทนฟิโลโมนล่อแมลงวันผลไม้มาติดกับดัก

How to : กับดักล่อแมลงวันทองในสวนผลไม้

 พืช)ช่วงมะม่วงเริ่มเปลี่ยนสีผลจากเขียว-เหลืองแมลงวันทองจะเข้าทำลาย การใช้ใบกะเพราขยี้ให้ออกกลิ่นล่อแมลงมาติดกับดักแทนฟิโลโมนจะตัดวงจรได้


แมลงศัตรูพืช แมลงวันทอง กับดักแมลงวันทอง แมลงวันทอง ใบกระเพรา สารล่อแมลง แมลงวันผลไม้ ฟิโลโมน ภูมิปัญญษ การเกษตร *1677 รักบ้านเกิด ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร
แมลงวันทอง ถือ เป็นศัตรูตัวสำคัญในสวนไม้ผล และมักจะเข้าทำลายพืชผลให้เสียหายในช่วงที่ผลไม้เริ่มเข้าสู่กระบวนการสุกแก่ทางสรีระวิทยา ความเสียหายที่เกิดจากการเข้าทำลายของแมลงวันทองจึงมีมากมายหากพบว่ามีการแพร่ระบาดในสวนไม้ผล เพราะแมลงวันทองจะเจาะผลเพื่อวางไข่ และในระยะตัวหนอนจะอาศัยอยู่ในผลไม้ ทำลายเนื้อในของไม้ผลจนกระทั่งใกล้เข้าสู่ดักแด้ จึงออกมามาจากผลไม้และเข้าดักแด้อยู่ใต้ดินรอเวลาที่จะออกมาเป็นตัวเต็มวัยอีกครั้งหนึ่ง



การกำจัดแมลงวันทองส่วนใหญ่จะใช้วิธีการ วางกับดักล่อ โดยใช้ phelomone เป็นตัวล่อให้แมลงวันทองเข้ามาติดกับดัก การทำกับดักแมลงวันทองจึงมีหลายรูปแบบให้ชาวสวนเลือกใช้ แต่ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นกับดักแมลงวันทอง จากขวดพลาสติก ซึ่งมีวิการแสนง่าย จากภูมิปัญญาเกษตรที่น่าสนใจในชุมชน

วัสดุ - อุปกรณ์ :

1. ขวดพลาสติกใส
2. ลวด
3. ใบกะเพรา

วิธีการทำ :


คุณสุภสร ใช้วิธีการกำจัดแมลงวันทองด้วยการนำขวดพลาสติกที่เหลือใช้มาเจาะเป็นสามเหลี่ยม เปิดให้แมลงวันทองเข้าไปในขวดพลาสติกใสโดยใช้สารล่อที่ทำมาจากใบกะเพรา หรือเอาใบกะเพราใส่ไว้ในขวดพลาสติกใส เพื่อเป็นกับดักล่อแมลงให้เข้าไปในขวด ไม่สามารถออกได้และตายในที่สุด

--------------------------------- ^ ^ -----------------------------------
ที่มา :
ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี
 
Copyright © -2012 กะเพราสรรพคุณ.com All Rights Reserved | Design by Guru